นาย ฮิโรชิ บาบะ ผอ.ฝ่ายฟุตบอลอาชีพเจลีก ญี่ปุ่น กล่าวในระหว่างให้การต้อนรับสื่อมวลชนจากประเทศไทยในการเยี่ยมชมที่ทำการสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (เจเอฟเอ เฮาส์) เมื่อ 7 ต.ค. ว่า การมาค้าแข้งของนักเตะไทยมีส่วนช่วยอย่างมากต่อความนิยมฟุตบอลเจลีก ญี่ปุ่น ในประเทศอื่น
นาย ฮิโรชิ กล่าวว่า “ในช่วงที่นักเตะไทยเข้ามาเล่นฟุตบอลเจลีก ซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงหลังนับแล้วน่าจะมีเป็น 10 กว่าคน ทำให้เกิดกระแสตอบรับฟุตบอลลีกของญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศมากขึ้น ไม่เพียงเฉพาะแค่ในญี่ปุ่น หรือประเทศไทย แต่ยังรวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออก และไปถึงยุโรปด้วย”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ไปเล่นกับคอนซาโดเล ซัปโปโร ทำให้มีฐานแฟนบอลที่ติดตามผลงานของคอนซาโดเลเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับการที่เขาย้ายมาเล่นให้คาวาซากิ ฟรอนตาเล ทำให้ยอดผู้ติดตามการแข่งขันของฟรอนตาเลมากขึ้นไปด้วย”
“ไม่เพียงแต่เรื่องกีฬาเท่านั้นที่เราคาดหวังจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ เพราะเราคาดหวังถึงด้านอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่นเรามีการนำอาหารของญี่ปุ่นเข้าไปสู่ตลาดไทย เอาอัตลักษณ์อาหารไทยมาไว้ที่ญี่ปุ่น”
“ส่วนแนวทางการพัฒนาฟุตบอลลีกของเรานั้นเราระบบที่ชัดเจนในการสร้างบุคลากรด้านฟุตบอล เพราะไม่มีเพียงระบบบอลลีกเท่านั้น นักเตะคนอื่นๆ มีทางเลือกหากต้องการที่เล่นฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลระดับมัธยม รวมถึงระดับมหาวิทยาลัย”
“ที่สำคัญเลยในเจลีก เรามีการเก็บข้อมูลนักเตะทุกคนเข้าระบบ ดังนั้นคนที่อยู่ในฟุตบอลมัธยม หรือมหาวิทยาลัยจะมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับทุกสโมสร ทุกคนมีโอกาสจะเข้าสู่ระบบฟุตบอลลีกได้เหมือนกัน”
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า มีคำแนะนำให้กับฟุตบอลไทยในการที่จะพัฒนาทั้งฟุตบอลอาชีพรวมถึงระดับทีมชาติไทยอย่างไรบ้าง นาย ฮิโรชิ บาบะ กล่าวมีความเป็นมากที่ทุกคนซึ่งเกี่ยวข้องต้องมีเป้าหมายในทิศทางเดียวกัน
“สำหรับญี่ปุ่นเราวางแผนมานานแล้วว่าต้องเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลและเราวางแผนทำงานต่อเนื่อง ตอนนี้การเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย กลายเป็นเรื่องพื้นฐานไป ดังนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วเราจึงวางแผนการทำงานสำหรับการคว้าแชมป์ฟุตบอลให้ได้ภายใน 50 ปี หรือภายในปี 2050”
“สิ่งที่ผมแนะนำได้คือฟุตบอลไทยต้องวางเป้าหมายที่ชัดเจนเหมือนกันไล่ตั้งแต่ระดับสโมสรว่าต้องการทำอะไรจากนี้ และกำหนดระยะเวลาการทำงาน ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยระยะสั้นอาจใช้เวลา 20-30 ปี ระยะกลางอาจจะ 50 ปี ระยะยาวต้องวางไปไกลถึง 100 ปี”
“เมื่อได้เป้าหมายแล้วต้องหนดทิศทางการทำงานเพื่อให้ถึงเป้าหมายตามระยะที่วางไว้ และแน่นอนว่าทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือในการเดินไปในทิศทางเดียวกันด้วย”